สวัสดีครับ ผม กานต์ธีระ วีระกะลัส
วันนี้ผมจะมาบอกที่มาของสบู่กันนะครับ
ตำนานเล่าไว้ว่า แม่นางคลีโอพัตตรา ก็พยายามแสวงหาวิธีการที่จะทำให้ร่างกายของนางสะอาด และมีกลิ่นหอม ดังนั้นนางจึงใช้น้ำที่นำพืชสมุนไพรมาต้มเพื่อนำมาอาบ โดยทำให้ช่วยชะล้างความสะอาดได้ดีขึ้นและให้กลิ่นหอมสะอาดส่วนคนไทยโบราณสมัยที่ยังไม่มีสบู่ก็ใช้ พืชผลไม้ หลายอย่างมาช่วยทำให้ร่างกายสะอาดขึ้นเช่นกัน เช่นการนำ มะกรูด มาเผาไฟ และ นำมาสะผม
นำน้ำใบส้มป่อย มาอาบน้ำ หรือ นำมะขามเปียกมาถูตัวเป็นต้น โดยยุคแรกที่คิดสบู่ได้นั้น สบู่เรียกว่า ไซโป หมายถึงสิ่งที่นำมาชำระล้างนั่นเอง โดยต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น โซป (Soap) ดังในปัจจุบัน การค้นพบสบู่ถือว่าเป็นความบังเอิญมาก ๆ ในยุคสมัยที่เรายังนิยมการบูชายันต์อยู่นั้น มักจะมีแท่นบูชายันต์ ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ เมื่อนำแพะ หรือสัตว์อื่น ๆ มาบูชายัน ก็มีการเผาทำพิธีบริเวณนั้นด้วย และไขมันจากสัตว์เกิดไหลปนกับขี้เถ้า เกิดเป็นสิ่งที่เป็นก้อนขาว ๆๆ ไหลลงในลำธาร ชาวบ้านที่นำผ้ามาซักบริเวณนั้น ก็เกิดข้อสังเกตุว่า ผ้าที่ซักจากบริเวณนี้ สะอาดง่ายกว่า ซักบริเวณอื่น จึงได้หาเหตุ กันต่าง ๆ จนมาเจอก้อนที่ว่านี่เอง สบู่ไงครับ ที่เกิดจากความบังเอิญจาก ไขมัน รวม กับ ขี้เถ้า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า ปฎิกิริยา Saponification หรือการเกิดสบู่ขึ้นนั่นเอง
เป็นผลที่มาจาก Ester(ไขมัน) และ base(ด่าง) รวมกัน ได้เป็นสบู่ขึ้นมา โดยที่สบู่จากการสร้างจาก Saponification จะมีส่วนที่เรียกว่า กลีเซอรีน ออกมาด้วย ดังนั้นสบู่จากปฎิกิริยานี้ จะช่วยบำรุงผิวได้ดี อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของสบู่จะแปรตามคุณสมบัติของไขมันที่มาทำสบู่
เช่นถ้าสบู่ที่ทำจากน้ำมันมะพร้าว จะมีเนื้อแข็ง ฟองมาก เหมาะไว้ล้างจานเป็นต้น สบู่น้ำมันละหุ่ง จะให้ครีมนุ่มอ่อนโยน เหมาะไว้ล้างหน้าเป็นต้นครับ ดังนั้นมนุษย์เราจึงได้ผลิตสบู่แบบนี้ซึ่งผมจะเรียกว่าการผลิตสบู่ด้วยวิธีธรรมชาติ โดยใช้ไขมันจากพืชหรือสัตว์ผสมกับด่างหรือ NaOH มาใช้กันเป็นเวลายาวนานซึ่งถือว่าเป็นสบู่ที่ดี ไม่ค่อยมีความระคายเคือง และมีกลีเซอรีนผสมอยู่ และมีการปรับสูตรกันในแต่ละท้องถิ่น
ในไทยเอง ก็มีการผลิตสบู่ลักษณะนี้อยู่เหมือนกันในอดีต จวบจนครั้งเมื่ออุตสาหกรรมเคมี ได้พัฒนาขึ้น การผลิตสบู่แบบดั้งเดิม ซึ่งต้นทุนสูง ใช้เวลานานในการผลิต และ ผลิตได้ครั้งละจำกัด จึงเกิดสบู่อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งผลิตโดยใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติในการชะล้าง มาอัดเป็นก้อนและผสมกลิ่นน้ำหอม และ เติมสี และจัดจำหน่ายทั่วไป มีการเติมมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อทดแทนกลีเซอรีน ที่เคยได้ในการผลิตแบบดั้งเดิม สบู่ประเภทนี้ให้การชะล้างที่เยี่ยมยอด และมีกลิ่นสี น่าใช้มาก เพราะแต่งเติมเข้าไปด้วยกรรมวิธีใหม่ ๆ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ การระคายเคืองในบางคน และการสะสมสารเคมี ไว้ที่ผิวกาย ทุกวัน ๆ มาจนถึงวันนี้ ไม่ทราบว่ามีใครสงสัยเหมือนผมบ้างไหมครับ ว่าสบู่ที่อยู่ในห้องน้ำบ้างเราเนี่ย เป็นสบู่จริงๆ หรือ เป็น เคมีชำระล้างอัดก้อน หรือสงสัยมั๊ยครับ ว่าเราเคยใช้สบู่ ที่เป็นสบู่จริงๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน ประวัติสบู่
เอกสารจากอดีตบันทึกกำเนิดสบู่ก้อนแรกว่ามาจากไขมันแพะต้มกับขี้เถ้าจากการเผาไม้ ซึ่ง
เป็น การค้นพบโดยบังเอิญในยุค โรมันอันมีการบูชายัญสัตว์บนแท่นบูชาที่ทำด้วยไม้ แท่นบูชานี้
ตั้งอยู่บนเนินเขา เมื่อสัตว์และแท่นไม้ถูกเผาพร้อมกัน ไขมันสัตว์ออกมาผสมกับขี้เถ้า เมื่อฝนตกลง
มาก็เกิดเป็นก้อนสีขาว เวลาล่วงเลยมา มีการทำสบู่ใช้ เพียงแต่ไม่ได้ผลิตเป็นจำนวนมาก เป็นการทำ
ใช้กันในครัวเรือน และเพราะมีสบู่ใช้ไม่มาก ผู้คนก่อนศตวรรษที่ 20 จึงไม่ได้อาบน้ำกันบ่อยนัก อย่าง
ไรก็ตาม ต่อมาการทำสบู่กลายเป็นอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่สุดของโลกประเภทหนึ่ง โดยโรงงานแรกๆ
เกิดขึ้นในยุโรป
การทำสบู่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ มีการพัฒนาก้าวหน้าจนปัจจุบันรูปแบบและสภาพแตก
การทำสบู่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ มีการพัฒนาก้าวหน้าจนปัจจุบันรูปแบบและสภาพแตก
ต่างไปจากบรรพบุรุษที่หน้าตาเดิมเป็นเพียงก้อนสบู่ ทั้งนี้ หลักการพื้นฐานของสบู่เกิดจากการทำปฏิ-
กริยาทางเคมีระหว่างสารละลายกับน้ำมัน อาจเป็นน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ และกลีเซอรีนสำหรับทำ
สะอาด ขจัดคราบสกปรก แต่ข้อเสียคือความที่ล้างความมันได้ดีมากจึงทำลายไขมันคุ้มกันผิวไป ทำ
ให้ผิวแห้งตึง และสบู่ยังมีฤทธิ์เป็นด่าง (ค่า pH มากกว่า 7) ทำให้ค่า pH บนผิวซึ่งปกติมีค่าประมาณ 5.5
คือมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เปลี่ยนไป การที่ค่า pH สูงกว่าภาวะปกติเป็นเวลานานๆ ทำให้ผิวระคายเคือง
อักเสบ และส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบนผิวหนัง ปัจจุบันนี้จึงนิยมใช้สารชำระล้าง
ชนิดสังเคราะห์ใหม่ๆ (synthetic detergents หรือ soapless) ซึ่งสามารถปรับค่า pH ให้มีค่าใกล้เคียงกับ
ผิวหนังปกติ ระคายเคืองน้อยกว่าสบู่แบบเดิม ล้างออกได้สะดวกโดยไม่ทิ้งคราบไว้บนผิวหนัง
มนุษย์ดึกดำบรรพ์มีวิธีอาบน้ำที่แปลกประหลาด ในขั้น
แรกเขาจะใช้ขี้เถ้าผสมน้ำทาจนทั่วตัว แล้วจึงทาทับด้วยน้ำมันหรือไขมัน แล้วจึงล้างตัวด้วยน้ำสะอาด ถึงแม้วิธีอาบน้ำของชาวโบราณจะดูพิลึกต่างกับยุคปัจจุบัน แต่ในความจริงแล้วองค์ประกอบทางเคมีของขี้เถ้าและสบู่และไขมันคล้ายกันมากกับองค์ประกอบของสบู่ในปัจจุบัน ดังนั้นคนโบราณที่อาบน้ำแล้วจึงตัวสะอาดพอๆกับเราๆที่อาบน้ำแล้วนั่นเอง
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าชนกลุ่มแรกที่ประดิษฐ์สบู่ขึ้นมาคือชาวสุเมเรียนซึ่งเป็นบรรพบุรษของชาวบาบิโลเนีย วิธีการทำสบู่ของเขาก็คือเอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟจนเดือดแล้วเทขี้เถ้าและไขมันลงไป คนสักครู่แล้วจึงเติมเกลือ ไขมันจะจับเป็นก้อนแข็งลอยอยู่บนผิวหน้าซึ่งนั่นก็คือสบู่นั่นเอง
แต่สบู่ที่เตรียมโดยวิธีนี้จะนิ่มและแตกเป็นชิ้นเล็กๆได้ง่าย ต่อมาจึงได้มีผู้ปรับปรุงกรรมวิธีเพื่อให้สบู่แข็งตัวและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น โดยนำไขที่ได้มาล้างสารละลายเกลือแล้วทิ้งสัก
ระยะหนึ่งจะได้สบู่แข็งทีสามารถนำมาตัดเป็นก้อนสำหรับใช้ได้
สิ่งน่าทึ่งสำหรับสบู่คือคือบางครั้งสบู่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญในธรรมชาติ พืชหลาย ชนิดมีสารเคมีลักษณะคล้ายสบู่ โดยใช้วักล้างได้และมีฟอง ชาวพื้นเมืองอเมริกันและชาวเผ่าต่างอื่นๆเคยใช้พืชเหล่านี้สำหรบซัล้างและถูตัวมาแล้ว ที่แปลกไปกว่านั้นคือที่เกาะไซโมลัส
( Cimolus ) ในทะเลอีเจียน ( Aegean Sea ) ทั้งเกาะประกอบด้วยสารลัษณะคล้ายสบู่
ไม่เพียงแต่สามารถนำมาใช้ซักผ้าและถูตัวได้เท่านั้น เวลาฝนตกหนักทั่วเกาะจะถูกปกคลุมด้วยฟองสบู่หนาหลายฟุตทีเดียว
สบู่ธรรมชาติชนิดสุดท้ายที่จะกล่าวถึงนั้นค่อนข้างที่จะน่าขยะแขยงและชวนขนลุก ขนพองเอาซักหน่อย และไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำมาใช้ถูตัวและทำความสะอาด เพราะมันมาจากศพที่ฝังดินไว้ภายใต้สภาวะความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ศพจะกลายสภาพเป็นสารเคมีที่คล้ายกับโซดาปิ้งขนมปัง ( โซเดียมไบคาร์บอเนต ) ผสมกับไขมันซึ่งคล้ายกับองค์ประกอบทางเคมีของสบู่ สัปเหร่อเรียกสารเคมีนี้ว่า ... ขี้ผึ้งจากหลุมฝังศพ ศพของนายวิลเลียม วอน เอลเลนโบเกน นายทหารชาวอเมริกันผู้ถูฆ่าตายในสงความระหว่างอังกฤษกับอาณานิคมของอังกฤษใน
สหรัฐอเมริกา ( ค.ศ. 1775-1783 ) เมื่อฝังแล้วร่างกายของเขากลายเป็นสบู่ และมีผู้นำมาตั้งแสดงที่สถาบันสมิทโซเนียน ( Smithsonian Instituution ) อยู่นานหลายปี ... รับรองเลย ว่าสบู่ประเภทนี้คงไม่มีใครกล้าใช้เป็นแน่ ...แรกเขาจะใช้ขี้เถ้าผสมน้ำทาจนทั่วตัว แล้วจึงทาทับด้วยน้ำมันหรือไขมัน แล้วจึงล้างตัวด้วยน้ำสะอาด ถึงแม้วิธีอาบน้ำของชาวโบราณจะดูพิลึกต่างกับยุคปัจจุบัน แต่ในความจริงแล้วองค์ประกอบทางเคมีของขี้เถ้าและสบู่และไขมันคล้ายกันมากกับองค์ประกอบของสบู่ในปัจจุบัน ดังนั้นคนโบราณที่อาบน้ำแล้วจึงตัวสะอาดพอๆกับเราๆที่อาบน้ำแล้วนั่นเอง
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าชนกลุ่มแรกที่ประดิษฐ์สบู่ขึ้นมาคือชาวสุเมเรียนซึ่งเป็นบรรพบุรษของชาวบาบิโลเนีย วิธีการทำสบู่ของเขาก็คือเอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟจนเดือดแล้วเทขี้เถ้าและไขมันลงไป คนสักครู่แล้วจึงเติมเกลือ ไขมันจะจับเป็นก้อนแข็งลอยอยู่บนผิวหน้าซึ่งนั่นก็คือสบู่นั่นเอง
แต่สบู่ที่เตรียมโดยวิธีนี้จะนิ่มและแตกเป็นชิ้นเล็กๆได้ง่าย ต่อมาจึงได้มีผู้ปรับปรุงกรรมวิธีเพื่อให้สบู่แข็งตัวและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น โดยนำไขที่ได้มาล้างสารละลายเกลือแล้วทิ้งสัก
ระยะหนึ่งจะได้สบู่แข็งทีสามารถนำมาตัดเป็นก้อนสำหรับใช้ได้
สิ่งน่าทึ่งสำหรับสบู่คือคือบางครั้งสบู่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญในธรรมชาติ พืชหลาย ชนิดมีสารเคมีลักษณะคล้ายสบู่ โดยใช้วักล้างได้และมีฟอง ชาวพื้นเมืองอเมริกันและชาวเผ่าต่างอื่นๆเคยใช้พืชเหล่านี้สำหรบซัล้างและถูตัวมาแล้ว ที่แปลกไปกว่านั้นคือที่เกาะไซโมลัส
( Cimolus ) ในทะเลอีเจียน ( Aegean Sea ) ทั้งเกาะประกอบด้วยสารลัษณะคล้ายสบู่
ไม่เพียงแต่สามารถนำมาใช้ซักผ้าและถูตัวได้เท่านั้น เวลาฝนตกหนักทั่วเกาะจะถูกปกคลุมด้วยฟองสบู่หนาหลายฟุตทีเดียว
สบู่ธรรมชาติชนิดสุดท้ายที่จะกล่าวถึงนั้นค่อนข้างที่จะน่าขยะแขยงและชวนขนลุก ขนพองเอาซักหน่อย และไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำมาใช้ถูตัวและทำความสะอาด เพราะมันมาจากศพที่ฝังดินไว้ภายใต้สภาวะความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ศพจะกลายสภาพเป็นสารเคมีที่คล้ายกับโซดาปิ้งขนมปัง ( โซเดียมไบคาร์บอเนต ) ผสมกับไขมันซึ่งคล้ายกับองค์ประกอบทางเคมีของสบู่ สัปเหร่อเรียกสารเคมีนี้ว่า ... ขี้ผึ้งจากหลุมฝังศพ ศพของนายวิลเลียม วอน เอลเลนโบเกน นายทหารชาวอเมริกันผู้ถูฆ่าตายในสงความระหว่างอังกฤษกับอาณานิคมของอังกฤษใน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก: http://atcloud.com/stories/67129
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น